ประเภทของ เหล็ก มีอะไรบ้าง?
เหล็ก คืออะไร?
“เหล็ก” เป็นโลหะสีเงินสีขาวหรือสีเทา เป็นเงา วิธีการหล่อสามารถใช้ค้อนทุบเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ สามารถยืดได้ เหล็กมีความต้านทานแรงดึงสูง อีกทั้งยังนำไฟฟ้า นำความร้อนได้ดีและใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย คุณสมบัติที่สำคัญของเหล็ก คือ เมื่อหล่อแล้วสามารถขึ้นรูปใหม่ได้และยังมีความทนทานที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้เหล็กสามารถใช้ในการโค้ง งอ ม้วน ดัดเป็นรูปร่างรูปแบบและอื่น ๆ เพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นสิ่งของที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมได้นั่นเอง
เหล็ก เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทกับการนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเหล็กจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เหล็ก (Iron) และ เหล็กกล้า (Steel) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ มีคุณสมบัติที่ต่างกันหลายประการ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกเรียกอย่างเหมารวมกันว่า “เหล็ก” นั่นเอง วันนี้ KACHA จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหล็กกัน ตามไปดูเลย . . .
คุณสมบัติเฉพาะของเหล็ก
ชื่อ, สัญลักษณ์, เลขอะตอม | เหล็ก, Fe, 26 |
ลักษณะ | แวววาวลักษณะโลหะ และมีสีเทา |
มวลอะตอม | 55.845(2) กรัม/โมล |
สถานะ | ของแข็ง |
ความหนาแน่น (ใกล้ r.t.) | 7.86 ก./ซม.³ |
ความหนาแน่นของของเหลวที่ m.p. | 6.98 ก./ซม.³ |
จุดหลอมเหลว | 1811 K (1538 °C) |
จุดเดือด | 3134 K (2861 °C) |
ความร้อนของการหลอมเหลว | 13.81 กิโลจูล/โมล |
ความร้อนของการกลายเป็นไอ | 340 กิโลจูล/โมล |
ความร้อนจำเพาะ | (25 °C) 25.10 J/(mol·K) |
ลักษณะทั่วไปของ เหล็กและเหล็กกล้า เป็นแบบไหน?
► เหล็ก (Iron) จะมีสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ คือ Fe มักพบได้มากในธรรมชาติ มีลักษณะเป็นสีแดงอมน้ำตาล เมื่อนำเข้าใกล้กับแม่เหล็ก จะดูดติดกัน ส่วนพื้นที่ที่ค้นพบเหล็กได้มากที่สุด คือ ตามชั้นหินใต้ดินที่อยู่บริเวณที่ราบสูงและภูเขา โดยจะอยู่ในรูปของสินแร่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ต้องใช้วิธีถลุงออกมา เพื่อให้ได้เป็นแร่เหล็กบริสุทธิ์และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง
► เหล็กกล้า (Steel) เป็นโลหะผสม ที่มีการผสมระหว่าง เหล็ก ซิลิคอน แมงกานีส คาร์บอนและธาตุอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ทำให้มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นสูง มีความทนทาน แข็งแรงและสามารถต้านทานต่อแรงกระแทกและภาวะทางธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งสำคัญ คือ เหล็กกล้าไม่สามารถค้นพบได้ตามธรรมชาติเหมือนกับเหล็ก เนื่องจากเป็นเหล็กที่สร้างขึ้นมาโดยการประยุกต์ของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันมีการนำเหล็กกล้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะมีต้นทุนต่ำ จึงช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก และมีคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่แพ้เหล็ก
ประเภทของเหล็กแบ่งได้อย่างไรบ้าง?
สำหรับประเภทของเหล็กนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
👉 เหล็กหล่อ เป็นเหล็กที่ใช้วิธีการขึ้นรูปด้วยการหล่อขึ้นมา ซึ่งจะมีปริมาณของธาตุคาร์บอนประมาณ 1.7-2% จึงทำให้เหล็กมีความแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเปราะ จึงทำให้เหล็กหล่อ สามารถขึ้นรูปได้แค่วิธีการหล่อวิธีเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขึ้นรูปด้วยการรีดหรือวิธีการอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ เหล็กหล่อสามารถแบ่งย่อย ดังนี้
ประเภท | ลักษณะ |
---|---|
เหล็กหล่อเทา | เป็นเหล็กหล่อที่มีโครงสร้างคาร์บอนในรูปของกราฟไฟต์ เพราะมีคาร์บอนและซิลิคอนเป็นส่วนประกอบสูงมาก |
เหล็กหล่อขาว | เป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงทนทานสูง สามารถทนต่อการเสียดสีได้ดี แต่เปราะ จึงแตกหักได้ง่าย โดยเหล็กหล่อประเภทนี้ จะมีปริมาณของซิลิคอนต่ำกว่าเหล็กหล่อเทา ทั้งมีคาร์บอนอยู่ในรูปของคาร์ไบด์ของเหล็กหรือที่เรียกกว่า ซีเมนไตต์ |
เหล็กหล่อกราฟไฟต์กลม | เป็นเหล็กที่มีโครงสร้างเป็นกราฟไฟต์ มีส่วนผสมของแมกนีเซียมหรือซีเรียมอยู่ในน้ำเหล็ก ทำให้เกิดรูปร่างกราฟไฟต์ทรงกลมขึ้นมา ทั้งยังได้คุณสมบัติทางกลในทางที่ดีและโดดเด่นยิ่งขึ้น เหล็กหล่อกราฟไฟต์จึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายและถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมมากขึ้น |
เหล็กหล่ออบเหนียว | เป็นเหล็กที่ผ่านกระบวนการอบเพื่อให้ได้คาร์บอนในโครงสร้างคาร์ไบด์แตกตัวมารวมกับกราฟไฟต์เม็ดกลม และกลายเป็นเฟอร์ไรด์หรือเพิร์ลไลต์ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหนียวแน่นกว่าเหล็กหล่อขาวเป็นอย่างมาก ทั้งได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานเยอะที่สุด |
เหล็กหล่อโลหะผสม | เป็นเหล็กที่มีการเติมธาตุหลายอย่างผสมเข้าด้วยกัน ซึ่งก็จะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทนต่อความร้อนและการต้านทานต่อแรงเสียดสีที่เกิดขึ้น เหล็กหล่อประเภทนี้จึงนิยมใช้ในงานที่ต้องสัมผัสกับความร้อน |
▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼ ▼
👉 เหล็กกล้า เป็นเหล็กที่มีความเหนียวแน่นมากกว่าเหล็กหล่อ และสามารถขึ้นรูปด้วยวิธีทางกลได้ จึงทำให้เหล็กชนิดนี้ นิยมถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ตัวอย่างเหล็กกล้าที่มักจะพบได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน คือ เหล็กแผ่น เหล็กโครงรถยนต์หรือเหล็กเส้น เป็นต้น นอกจากนี้คาร์บอนยังสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มย่อย ๆ ดังนี้
เหล็กกล้าคาร์บอน | มีส่วนผสมหลักเป็นคาร์บอนและมีส่วนผสมอื่น ๆ ปนอยู่บ้างเล็กน้อย เหล็กกล้าคาร์บอน สามารถแบ่งย่อยตามปริมาณธาตุที่ผสม ดังนี้
|
---|---|
เหล็กกล้าผสม | เป็นเหล็กที่มีการผสมธาตุอื่น ๆ เข้าไปโดยเจาะจง เพื่อให้คุณสมบัติของเหล็กเป็นไปตามที่ต้องการ โดยเหล็กประเภทนี้จะมีความสามารถในการต้านทานต่อการกัดกร่อนและสามารถนำไฟฟ้าได้ รวมถึงมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กอีกด้วย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
|
เหล็ก เป็นแร่ธาตุที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการนำมาใช้งานในหลาย ๆ ด้าน แต่มีข้อเสีย คือ มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนย้ายไม่ค่อยสะดวก อย่างไรก็ตาม เหล็กยังคงเป็นที่นิยมและมีการนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมหรือการผลิตเครื่องจักรกลต่าง ๆ รวมทั้งใช้ในการสร้างบ้านด้วย เพราะเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงและทนทานมาก
ข้อแตกต่างระหว่างเหล็ก และ เหล็กกล้า
► เหล็กกล้า ผลิตจากเหล็กที่ผ่านการกำจัดคาร์บอนออกไปให้เหลืออยู่น้อยกว่า 2% (โดยน้ำหนัก) ทำให้มีความบริสุทธิ์ของเหล็กสูงกว่า 94% และมีธาตุอื่นประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย
► เหล็กกล้า มีความยืดหยุ่น คงทน สามารถดัดเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้ดีกว่า และใช้งานได้หลากหลายกว่าเหล็ก เนื่องจากผ่านกรรมวิธีในการปรับปรุงคุณภาพในกระบวนการหลอมน้ำเหล็กแล้ว
► เหล็กมีความแข็งกว่าเหล็กกล้า แต่เหล็กมีความแข็งแรงน้อยกว่าเหล็กกล้า
► การเปลี่ยนแปลงรูปร่างรูปทรงของเหล็ก ทำได้โดยการตีขึ้นรูป หรือหลอมเหลวเป็นน้ำเหล็กแล้วเทลงในเบ้าหล่อหรือแม่พิมพ์ (การหล่อ) เช่น การตีดาบ การหล่อแท่นเครื่องยนต์ ในขณะที่เราเปลี่ยนรูปร่างหรือรูปทรงของเหล็กกล้าโดยการรีดด้วยเครื่องลูกกลิ้งที่เรียกว่า “แท่นรีด” การพับ ม้วน เชื่อม กระแทก กด ขึ้นรูป ฯลฯ ซึ่งหลากหลายวิธีตามความต้องในการแปรรูป เช่น พับเป็นเหล็กฉาก ม้วนแล้วเชื่อมเป็นท่อ กดและขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น
► เหล็กกล้า มีชั้นคุณภาพ (เกรด) หลายหลากมากมาย ตามมาตรฐานของแต่ละประเทศ และตามข้อกำหนดเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย แต่เหล็ก มีจำนวนชั้นคุณภาพน้อยกว่ามาก หมายถึงการนำไปใช้งานที่มีจำกัดด้วย
เลือกซื้อ เหล็ก อย่างไรให้ได้สินค้าคุณภาพ!
✔ ขนาดต้องวัดได้ตรงตามสเปค ใช้หน่วยมิลลิเมตร บวก ลบ ได้ไม่เกิน 2% ขนาดและความหนาต้องเท่ากันทุกเส้น
✔ มุมของเหล็กฉากหรือแป๊บ ต้องวัดได้ 90 องศา มุมฉากคม ไม่โค้ง หรือมนและไม่มีรอยต่อที่เหล็ก ส่วนท่อกลมต้องกลมสมบูรณ์ ต้องวัดทแยงมุมต้องได้ขนาดเท่ากันทั้งหมด ไม่เป็นวงรีหรือมีรอยแตกเชื่อมไม่สนิท
✔ ความยาวเท่ากันทุกเส้น สีเหมือนกันทั้งหมด ไม่คดงอ หรือบิด ทดสอบโดยวางบนพื้นแล้วลองกลิ้งเหล็กไปมาสังเกตุได้ง่าย
✔ น้ำหนักเหล็กเส้นมาตรฐานทั้งข้ออ้อยเส้นกลม คือ น้ำหนัก ต้องได้ตามสเปค ผิดพลาดได้ตามค่าที่กำหนดเท่านั้นตั้งแต่ 6-9 มิลลิเมตร น้ำหนักบวก ลบ ไม่เกิน 3% ต่อเส้น 12-16 มิลลิเมตร น้ำหนัก บวก ลบ ไม่เกิน 3.7% ต่อเส้น 16-32 มิลลิเมตร น้ำหนักบวก ลบ ไม่เกิน 4.5% ต่อเส้น เส้นหน้าตัดต้องกลม 100% ไม่ใช่กลมรีหรือมีปีกไม่เสมอกัน ข้ออ้อยลายต้องชัดหยักเสมอกันตลอดเส้น ลายไม่ล้มช่วงใดช่วงหนึ่ง
✔ น้ำหนักเหล็กรูปพรรณมาตรฐาน
น้ำหนักต่ำกว่า 10 กิโลกรัมต่อเส้น น้ำหนักต่อเส้นบวก ลบ ไม่เกิน 4.5%
น้ำหนักต่ำกว่า 50 กิโลกรัมต่อเส้น น้ำหนักต่อเส้นบวก ลบ ไม่เกิน 6.5%
น้ำหนักต่ำกว่า 100 กิโลกรัมต่อเส้น น้ำหนักต่อเส้นบวก ลบ ไม่เกิน 9.5%
น้ำหนักต่ำกว่า 300 กิโลกรัมต่อเส้น น้ำหนักต่อเส้น บวก ลบ ไม่เกิน 10.5%
ในกรณีน้ำหนัก ขาดมากกว่าเปอร์เซนต์ที่กำหนด ให้เฉลี่ยรวมก่อนทุกเส้น ถ้ายังขาดมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดถึง 6% ขึ้นไป ให้พิจารณาว่าได้เหล็กไม่มาตรฐานแล้ว (คือเหล็กเบา) ถ้าเฉลี่ยผิดพลาดจากเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดแค่ 5% ให้ตรวจใบรับรองพร้อมเช็คกับโรงงานผู้ผลิตว่า ใบรับรองถูกต้อง หรือไม่ ถ้าถูกต้องอนุโลมให้ได้ตามสเปค แต่ต้องขอใบคุมล๊อตผลิตแนบไปด้วย
✔ สเปคบนเหล็กตัวพิมพ์ ต้องชัดเจน ระบุเครื่องหมายการค้า (ยี่ห้อ) ชัดเจน ถ้าเป็นสติ้กเกอร์ต้องขอใบกำกับภาษีของผู้ผลิตอ้างอิงกับสินค้าได้
✔ สินค้าต้องมีใบ มอก. อย่างเดียวต้องตรวจสอบโดยวิธีที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วตามมาตรฐานวิศวกรรมและ ต้องมีใบคุมล็อตด้วย สามารถตรวจได้จริงตรงกับเหล็กที่ส่งมา
✔ ไม่มีสนิมหรือน้ำมันเคลือบสีอื่นใด ๆ นอกจากสีธรรมชาติของเหล็ก ถ้าเป็นน้ำมันเคลือบจากโรงงานจะบาง ๆ สีอ่อน ไม่ดำมากเกินไป
✔ เวลาจับเนื้อเหล็ก ต้องเป็นเนื้อเดียวไม่แตกเป็นเสี้ยนเหมือนไม้ หรือหยาบเป็นเกร็ดปลา เวลาเชื่อมจุดเชื่อมต้องต่อสนิทไม่แตก แสดงถึงจุดหลอมของเหล็กที่มีคุณภาพ
✔ หลังจากตรวจสอบอย่าง ละเอียดทุกข้อ แล้วควรซื้อจากร้านตัวแทนโดยตรงของบริษัทนั้น ๆ ต้องสอบถามว่า ถ้าสินค้ามีปัญหา หรือสเปคไม่ตรงหรือปลอมปนเกรด B ต้องรับคืนในกรณีไม่ได้มาตรฐาน
ข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้ความเชื่อใจ ในกรณีไม่ได้ตามสเปค เพราะถ้าสิ่งปลูกสร้างพังลงมา จะเกิดความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินของท่าน
2. ระวังในกรณีของเหล็กเส้น จำนวนมาก จำนวนเส้นจะไม่ครบต้องตรวจสอบให้ละเอียด หรือใช้วิธีชั่งน้ำหนักและเฉลี่ยให้ใกล้เคียงที่สุด
3. เหล็กที่ไม่มาตรฐานความ แข็งแรงจะลดลงมาก หรือเหล็กจากจีนจะสังเกตุได้ไม่ยาก เพราะสีความเรียบเนียนเนื้อเหล็กต่างกันมาก เหล็กจีนไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมีการปนปลอมสินค้าไม่ได้มาตรฐานมาก
❝ เมื่อทำความเข้าใจเรื่อง เหล็ก และประเภทของเหล็กกันแล้ว อย่าลืมนำไปเลือกใช้ให้ถูกต้องตามความเหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพและความทนทานของงานที่จะใช้นั่นเอง นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์ตัวช่วยให้งานเหล็กคุณสะดวกสบายมากขึ้น จาก KACHA ได้ดังนี้ 👍 ❞
1. เครื่องผูกลวดอัตโนมัติ เครื่องผูกเหล็กเส้นไร้สาย
2. รอกโซ่คุณภาพ มาตรฐานอุตสาหกรรม
3. รอกไฟฟ้า รอกยกของ
4. เครนยกของ
>>สามารถติดตามบทความต่าง ๆ ของ KACHA ได้ตามนี้เลย<<
ที่มา : kacha
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น